PCOS หรือ Polycystic Ovary Syndrome คือ ภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อรังไข่ ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของถุงน้ำหลาย ๆ ถุงในรังไข่ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “ถุงน้ำในรังไข่” หรือ “ซีสต์” ซึ่งทำให้การตกไข่ผิดปกติ หรือไม่เกิดขึ้นเลย ภาวะนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ แต่ยังสามารถกระทบต่อสุขภาพโดยรวมของผู้หญิง
ได้อย่างมาก จากสถิติพบว่าผู้หญิงทั่วโลกเกิดภาวะนี้สูงถึง 60-70% โดยที่สาเหตุของการเกิดภาวะนี้
ยังไม่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม หรือภาวะดื้ออินซูลิน โดยอาการก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน มีได้ทั้งประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เว้นช่วงนานกว่าปกติ กะปริบกะปรอย 
หรือมามากเกินไป 

PCOS เป็นภาวะที่สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตได้ในหลายด้าน การไม่ใส่ใจหรือไม่รักษาอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพระยะยาว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็งที่เยื่อบุโพรงมดลูก จากการที่เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น มะเร็งเต้านม หรือภาวะการมีบุตรยากสำหรับที่วางแผนตั้งครรภ์ และปัญหาสุขภาพจิต 
ที่อาจทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวลมากขึ้น ทุกคนควรรับฟังร่างกายของตนเอง และหากมีอาการที่สงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับ PCOS ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะนอกจากโอกาสที่ค่อนข้างสูงที่อาจเกิดขึ้นกับเราแล้ว การรักษาบางอย่าง เช่น การต้องกินยาปรับสมดุลฮอร์โมน
ก็อาจส่งผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่ทำให้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเราในระยะยาวได้เช่นกัน

ira juice EP.30 | PCOS เมนส์มาไม่ปกติ หน้ามัน ขนดก เป็นสิว!?

PCOS หรือ Polycystic Ovary Syndrome คือ กลุ่มอาการที่พบได้มากในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้รังไข่มีถุงน้ำเล็ก ๆ จำนวนมาก และมีการหลั่งฮอร์โมนเพศชายมากเกินไป และส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งต่อสืบพันธุ์ และสุขภาพโดยรวมของผู้หญิงในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น

เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 เนื่องจากความไม่สมดุลของอินซูลิน

ความดันโลหิตสูง

ภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะการมีระดับไขมันชนิดที่ไม่ดี (LDL) สูงและไขมันชนิดที่ดี (HDL) ต่ำ

ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด จากการมีน้ำหนักเกิน ความดันโลหิตสูง 
และภาวะดื้อต่ออินซูลิน ก็เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย

ปัญหาสุขภาพจิต จากความเครียด วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้ามักพบในผู้หญิงที่มี PCOS เนื่องจากผลกระทบต่อเนื่องทางร่างกายและอารมณ์ เช่น น้ำหนักขึ้น สิวขึ้น ขนดก ผมร่วง หน้ามัน

PCOS เกิดจากอะไรได้บ้าง

จริง ๆ แล้ว PCOS ยังไม่มีสาเหตุที่ระบุแน่ชัด แต่ก็อาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม 
สิ่งแวดล้อม แต่พบว่าภาวะนี้มีความสัมพันธ์กับความไม่สมดุลของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ในคนที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลินจะมีความเสี่ยงในการเกิด PCOS มากขึ้น แต่ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัด เราก็สามารถสังเกตอาการของตัวเอง เพื่อให้เราเตรียมรับมือ หรือไปหาหมอได้ทัน 
เมื่อมีอาการเหล่านี้

ประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งในคนที่เสี่ยงเป็น PCOS มักจะประสบปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรืออาจไม่มีประจำเดือนเลย เนื่องจากการตกไข่ที่ไม่เป็นปกติ หรือบางคนอาจมีตกขาวร่วมด้วยแทนประจำเดือน

ขนขึ้นเยอะผิดปกติ จากการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) ที่มากเกินไป ผู้หญิงที่มี PCOS มักจะมีขนขึ้นบริเวณใบหน้า หน้าอก หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกายในปริมาณมากกว่าปกติ

สิวและผิวมัน ที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ซึ่งมักจะรักษาได้ยาก ทายาหรือหาหมอสิวก็ไม่หายขาด เพราะเดินจากฮอร์โมนนั้นเอง

น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดยาก เนื่องจากการเผาผลาญในร่างกายที่ช้าลง

ปัญหาการมีบุตรยาก PCOS เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการมีบุตรยาก เนื่องจากการตกไข่
ที่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่ตกไข่เลย

PCOS เป็นภาวะที่ต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะใช้กระบวนการตรวจวินิจฉัยดังนี้

การซักประวัติ แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ อาการที่เป็นอยู่ เช่น ประวัติการมี
ประจำเดือน อาการเจ็บปวดท้องน้อย การมีสิว การมีขนดก และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

การตรวจร่างกาย เพื่อสังเกตอาการต่าง ๆ เช่น การมีขนดก ผิวหนังดำคล้ำ และภาวะอ้วน

การตรวจอัลตราซาวด์: เป็นการตรวจที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพของอวัยวะภายใน เพื่อตรวจดูขนาดและลักษณะของรังไข่ รวมถึงตรวจหาถุงน้ำขนาดเล็กจำนวนมากในรังไข่ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของ PCOS ที่จะดูเหมือนพวงองุ่น

การตรวจเลือด: เพื่อวัดระดับฮอร์โมนต่างๆ เช่น

ฮอร์โมนเพศชาย (Androgen): ระดับฮอร์โมนเพศชายมักสูงขึ้นในผู้ป่วย PCOS

ฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone): ฮอร์โมน LH มักสูงขึ้นในผู้ป่วย PCOS

ฮอร์โมน FSH (Follicle-Stimulating Hormone): ฮอร์โมน FSH มักต่ำหรือ
อยู่ในเกณฑ์ปกติ

อินซูลิน: เพื่อตรวจสอบภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งมักพบร่วมกับ PCOS

ฮอร์โมนอื่น ๆ: เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ เพื่อตรวจหาโรคอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้าย PCOS

การตรวจอื่น ๆ (ในกรณีที่แพทย์เห็นว่าจำเป็น): เช่น การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด 
การตรวจระดับไขมันในเลือด หรือการตรวจอื่น ๆ เพื่อยืนยันการวินิจฉัยหรือตรวจหาภาวะแทรกซ้อน

นอกจากนี้ การวินิจฉัย PCOS อาจต้องใช้เวลา เนื่องจากอาการของ PCOS อาจคล้ายคลึงกับ
โรคอื่น ๆ แพทย์อาจต้องทำการตรวจหลายครั้งและหลายวิธีเพื่อยืนยันการวินิจฉัย และในการรักษา ก็จะขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค แต่โดยทั่วไปจะเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ยา การทานวิตามินเสริม และการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็น PCOS

ความรุนแรงของ PCOS ในแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น วิธีการดูแลของแต่ละคนก็อาจ
แตกต่างกันตามกระบวนการรักษา แต่โดยทั่วไป ทุกคนสามารถดูแลตัวเองได้หลายวิธี ได้แก่ 

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

ควบคุมน้ำหนัก: การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยปรับปรุงอาการ PCOS ได้ เนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลินมักพบร่วมกับ PCOS การควบคุมน้ำหนักจะช่วยลด
ความดื้อต่ออินซูลินได้

เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่ว และปลา เลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารขยะ อาหารที่มีน้ำตาลสูง 
และไขมันทรานส์

ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำช่วยในการขับของเสียและช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงาน
ได้ดีขึ้น

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ประเภทของการออกกำลังกาย: ควรเลือกกิจกรรมที่ชอบและทำได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือโยคะ

ความถี่และระยะเวลา: ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง 5-7 วันต่อสัปดาห์ หรือตามสะดวก และความต้องการที่เหมาะสมกับแต่ละคน

จัดการความเครียด

หาเวลาพักผ่อน: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยให้ร่างกายได้ผ่อนคลายและฟื้นฟู

ทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย: เช่น การฟังเพลง การอ่านหนังสือ การทำสมาธิ หรือ
การทำกิจกรรมที่ชอบ

หากรู้สึกเครียดมากเกินไป ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

ดูแลสุขอนามัยส่วนตัว เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยรักษาสุขภาพของน้องสาวให้ดีอยู่ตลอดเวลา

ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาด: โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดสิวหรือมีขนดก

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน: เพื่อป้องกันการระคายเคือง หรือใช้เพียงแค่น้ำเปล่าในการทำความสะอาดน้องสาว หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด ที่ทำให้ความสมดุลของ
แบคทีเรียดีในช่องคลอดเปลี่ยนไป

เปลี่ยนผ้าอนามัยสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และเลือกใช้ผ้าอนามัยที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เพื่อป้องกันความอับชื้น ไม่ระคายเคืองที่ผิวสัมผัสน้องสาวจนทำให้แพ้ 
และนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออื่น ๆ ตามมาได้ สำหรับคน sensitive และมักจะ
แพ้ผ้าอนามัย เราแนะนำ ผ้าอนามัย ira จะตอบโจทย์ของทุกคน และด้วยความปราศจากสารเคมี นอกจากทุกคน
จะเช็กอาการของ PCOS กันทุกเดือนแล้ว ยังเช็กสุขภาพอื่น ๆ จากสีประจำเดือน
บนผ้าอนามัยได้ด้วย

รับประทานยาตามแพทย์สั่ง

ยาคุมกำเนิด ใช้สำหรับควบคุมระดับฮอร์โมนและลดอาการของ PCOS

ยาเมตฟอร์มิน ช่วยลดความดื้อต่ออินซูลิน

ยาอื่น ๆ : แพทย์อาจสั่งยาชนิดอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ยาแก้สิว ยาลดขน หรือยาอื่นๆ ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคล

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

ตรวจติดตามอาการ: เพื่อดูว่าการรักษามีประสิทธิภาพหรือไม่ และเพื่อตรวจหา
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ตรวจสุขภาพประจำปี: เพื่อตรวจหาโรคอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับ PCOS

เมื่อเป็น PCOS ตรวจที่ไหนได้บ้าง

สำหรับคนที่อ่านแล้วกังวลว่าตัวเองมีอาการของ PCOS หรือกังวลว่า ถ้าเป็น PCOS มีลูกได้ไหม ควรไปหาหมอเพื่อทำการตรวจ และรักษาอย่างเหมาะสมกับอาการของแต่ละคน ซึ่งทุกคนสามารถเลือกสถานที่ไปพบแพทย์ได้ตามความสะดวกไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ค่าใช้จ่าย หรือความครอบคลุมกับประกันสุขภาพของตัวเอง หรือใช้สิทธิการรักษาของแต่ละคนตามสวัสดิการรัฐ ได้แก่

โรงพยาบาล มีทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน ที่มีแผนกสูตินรีเวช จะมีแพทย์
ผู้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยได้

คลินิกสูตินรีเวช ที่เปิดให้บริการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

คลินิกเฉพาะทาง โดยในบางคลินิกอาจมีการตรวจวินิจฉัยโรคเฉพาะทาง เช่น คลินิกฮอร์โมน หรือคลินิกมีบุตรยาก

สามารถตรวจสอบแพ็กเกจที่คุ้มในได้ที่นี่

โรคยอดฮิตในหลายคนกับภาวะถุงน้ำในรังไข่ คือ การมีถุงน้ำหลายใบในรังไข่ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่ทั้งกวนใจ และต้องทำการรักษา มารู้จักเกี่ยวกับภาวะนี้กันมากขึ้น

PCOS คืออะไร ทำไมต้องใส่ใจกับโรคยอดฮิต “ถุงน้ำในรังไข่”

เรื่องท้าทายที่หลาย ๆ คนต้องเผชิญทุกเดือน อย่างอาการปวดท้องประจำเดือนที่คอยมารบกวนชีวิตประจำเดือนของเรา ในบางคนอาจมีอาการปวดท้องเบา ๆ ก่อนมีประจำเดือน แต่บางคนก็อาจปวดท้องหนักระหว่างมีประจำเดือนจนขยับไปมาไม่สบายตัว ซึ่งโดยปกติอาการเหล่านี้มักจะมีแค่ 1-3 วัน แล้วก็หายได้เอง แต่ก็สร้างความกังวลใจ รบกวนชีวิตประจำวัน และทรมานให้กับร่างกายได้ไม่น้อย หรือบางคนอาจจะมีอาการปวดท้องที่รุนแรงมากขึ้น และกินเวลาหลายวัน จนมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหลัง ปวดหัว หรือปวดข้อ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และสุขภาพกายและใจในช่วงนั้นได้ หรืออีกอย่างหนึ่ง ก็อาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายต้องการบอกเราว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น และให้เราหันกลับมาใส่ใจอาการปวดท้องเมนส์ของเรามากขึ้น

ในวันนี้บทความของเราจะมาไขข้อข้องใจ และแนะนำวิธีการจัดการกับอาการปวดท้องเมนส์ให้หายไป ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดแบบเล็กน้อยที่สามารถทนได้ หรืออาการปวดรุนแรงที่ทำให้ต้องหยุดงานและนอนพักอยู่บ้าน แต่ไม่ว่าคุณจะเจออาการปวดแบบไหน ก็ยังมีทริคที่จะช่วยให้คุณรับมือกับอาการปวดท้องเมนส์ และดูแลตัวเองในช่วงที่เมนส์มาของทุกคนได้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของวิธีการดูแลทั้งทางกายภาพและจิตใจ การปรับพฤติกรรม อาหารการกินการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการดูแลจุดซ่อนเร้น และสุขอนามัยของคุณให้ดีขึ้น ให้คุณได้มั่นใจและเพิ่มความสบายให้คุณในช่วงวันนั้นของเดือนได้

ira juice EP.29 | “สงสัยเมนส์มา” เมื่อ PMS กลายเป็นแค่ “ข้ออ้าง”

ปวดท้องเมนส์เกิดจากอะไร?

อาการปวดท้องประจำเดือนส่วนใหญ่เกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อเยื่อบุโพรงมดลูกให้หลุดลอกออกมา แต่ทำไมบางคนถึงปวดมาก บางคนถึงปวดน้อย หรือบางคนอาจไม่ปวดเลยก็ได้ ซึ่งสาเหตุหลักๆ มีดังนี้

สารโปรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ที่ถูกผลิตขึ้นในเยื่อบุโพรงมดลูก และมีหน้าที่กระตุ้น
ให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัว หากร่างกายผลิตสารโปรสตาแกลนดินมากเกินไป ก็จะทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหดตัวแรงขึ้นและบ่อยขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้อง

การไหลเวียนเลือดไม่ดี ที่เกิดจากเมื่อกล้ามเนื้อมดลูกหดตัวแรง อาจไปกดทับหลอดเลือด 
ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และเกิดอาการปวดตามมา

ความเครียด เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารที่ทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลให้ปวดท้องมากขึ้นได้

พฤติกรรมการกิน เช่น การชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โซเดียมสูง และคาเฟอีน อาจส่งผลต่ออาการปวดท้องเมนส์

ปัจจัยทางพันธุกรรม ถ้าหากในครอบครัวมีประวัติการปวดท้องประจำเดือนรุนแรง ก็มีความเสี่ยง
ที่จะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนี้มา

 บางครั้ง อาการปวดท้องประจำเดือนอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น ๆ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือเนื้องอกในมดลูก

นอกจากอาการปวดท้องแล้ว ในบางคนอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อย่างเช่น คลื่นไส้ อาเจียน 
ท้องเสีย ปวดหลัง หรือที่พบบ่อยอย่างอาการหงุดหงิดง่าย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับ
คนรอบข้างได้เลย

ปวดท้องเมนส์รุนแรง อันตรายหรือไม่?

จริงอยู่ที่อาการปวดท้องเมนส์โดยปกติทั่วไปจะเกิด 1-2 วัน ก่อนจะมีรอบเดือน หรือเกิดขึ้น
ในระหว่างที่มีรอบเดือนประมาณ 1-3 วันแรก แต่ในบางคนที่ปวดท้องเมนส์มาก ๆ มีอาการปวดรุนแรงจนตัวงอ นอนซมทั้งวัน ปวดท้องรุนแรงมากจนทนไม่ไหว และปวดท้องนานเกิน 7 วัน หรือบางคนมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น มีเลือดออกผิดปกติ หรือปวดท้องขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งหากมีอาการ
ปวดท้องเมนส์มากจนทนไม่ไหว เราควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจภายในอย่างละเอียด และรับการรักษาได้ถูกต้อง แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันดีกว่าว่า อะไรบ้างที่ทำให้เราปวดท้องเมนส์รุนแรงได้ 

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) คือ การที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโต
นอกโพรงมดลูก ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องรุนแรง

เนื้องอกในมดลูก ที่ไปกดทับอวัยวะอื่น ๆ ทำให้เกิดอาการปวด

การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียในอวัยวะสืบพันธุ์ 
อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงได้

สาเหตุอื่นๆ เช่น ห่วงอนามัย การมีพังผืดในช่องท้อง หรือภาวะมดลูกตีบ ทำให้เลือดประจำเดือนไหลช้า จนค้างภายในโพรงมดลูก และปวดท้องเรื้อรังตามมาได้

รวมเคล็ดลับ ดูแลตนเองเวลาปวดท้องเมนส์

ปวดท้องเมนส์ กินอะไรดี? 

เพราะอาหารการกินก็สำคัญ ในช่วงรอบเดือนหลาย ๆ คน จะรู้สึกอยากกินหลายอย่างเป็นพิเศษ โดยเฉพาะของหวาน หรือกินในปริมาณที่เยอะขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการเลือกกินของที่มีประโยชน์ก็ช่วยดูแลสุขภาพของเราในช่วงที่มีรอบเดือนได้ ซึ่งอาหาร ที่เหมาะกับช่วงที่มีรอบเดือนได้แก่ 

ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า บร็อคโคลี ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะแมกนีเซียม ซึ่งช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ

ปลา เช่น ปลาแซลมอน ทูน่า หรือปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ช่วยลด
การอักเสบในร่างกายได้

กล้วย เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 6 และโพแทสเซียม ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนและลดอาการปวด

โยเกิร์ต มีโปรไบโอติก ซึ่งเป็นแบคทีเรียดีที่ช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร

เมล็ดพืช เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดเจีย หรือเมล็ดเชีย มีแมกนีเซียมและไฟเบอร์สูง ช่วยลดอาการปวดและปรับปรุงระบบขับถ่าย

ขิง ที่มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดท้อง เช่น น้ำขิงอุ่น ๆ

น้ำเปล่า เพราะการดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอจะช่วยลดอาการท้องอืดและปวดท้อง

ปวดท้องเมนส์ นอนท่าไหน

ช่วงมีประจำเดือนและรู้สึกปวดท้อง อาการปวดจะทวีความรุนแรงขึ้น หากเราอยู่ในท่าที่
ไม่ถูกต้อง ซึ่งการลองปรับท่านอนอาจจะช่วยได้ มาดูกันว่ามีท่านอนไหนบ้างที่ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเมนส์ได้

ท่านอนตะแคง เป็นท่านอนที่แนะนำมากที่สุด เพราะจะช่วยลดแรงกดทับบริเวณหน้าท้อง ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายมากขึ้น ลองงอเข่าทั้งสองข้างเข้าหาตัว 
แล้วใช้หมอนหนุนไว้ใต้หัว เข่า และข้อเท้า จะช่วยให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น

ท่านอนหงาย แล้วใช้หมอนรองใต้เข่า จะช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในท่าที่ถูกต้อง และลดอาการปวดหลังได้ด้วย แต่ในท่านี้มีข้อควรระวังเรื่องการซึมเปื้อนของประจำเดือน ควรเลือกใช้ผ้าอนามัยให้เหมาะสม เช่น แบบกลางคืนที่มีความยาวมากกว่าปกติ หรือ 35 ซม. 

ท่านอนทารกในครรภ์ งอเข่าทั้งสองข้างเข้าหาตัว แล้วกอดเข่าไว้ ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องผ่อนคลาย แต่ก็อาจต้องระวังปวดหลังได้

ปวดท้องเมนส์ ทำอะไรดี

การพักผ่อนให้เพียงพอ หรือการทำให้ร่างกายได้รับการผ่อนคลายก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้
ลดอาการปวดท้องเมนส์ได้ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นโยคะในท่าที่ง่าย เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน 
การฝังเข็มลดอาการปวดที่ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น การฟังเพลงเบา ๆ หรือการทำสมาธิ 
ก็ช่วยลดความเครียดจากการปวดท้องเมนส์ได้

ปวดท้องเมนส์ ทำงานได้ไหม

คำถามที่หลายคนอาจสงสัย ก็คือ เมื่อปวดท้องเมนส์เราควรทำงานหรือไม่ คำตอบคือ 
อาจทำได้ในกรณีที่ไม่ปวดมาก แต่สำหรับบางคนที่มีอาการปวดรุนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิต
ประจำวันได้ ก็ควรพักผ่อนให้หายดีก่อน รวมทั้งนโยบายวันลาปวดประจำเดือนก็ควรถูกผลักดันอย่างจริงจังมากขึ้นในหลายองค์กรด้วย

ปวดท้องเมนส์ นวดยังไง

นอกจากนี้ การนวดยังเป็นวิธีที่บรรเทาอาการปวดให้ลดลงได้ ซึ่งสามารถใช้วิธีประคบร้อนร่วมด้วย แล้วค่อย ๆ นวดคลึงอย่างเบามือเป็นวงกลมบริเวณท้องน้อย เผื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายมากขึ้น หรือในบางคนที่ปวดหลัง ขา ก็อาจนวดบริเวณส่วนนั้นเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้เรายังใช้น้ำมันอุ่นมาประกบด้วยก็ได้ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

ไม่อยากปวดท้องเมนส์จนร้องไห้ อย่าลืมดูแลตัวเอง และรักษาความสะอาด

อาการปวดท้องเมนส์ อาจทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกทรมานจนต้องมีน้ำตา หรือนอนร้องไห้ หลังจากการบรรเทาอาการปวดตามวิธีที่กล่าวมาข้างบนแล้ว การดูแลรักษาความสะอาดน้องสาวก็ยังคงเป็น
สิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้วันมามากของคุณสดชื่นมั่นใจได้มากขึ้น อย่างในช่วงที่มีรอบเดือน แน่นอนว่า
เราต้องใส่ผ้าอนามัยทุกวันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในหนึ่งวันเราควรเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างน้อย 3-4 แผ่น 
เพื่อรักษาความสะอาด ลดความอับชื้น และลดความเสี่ยงติดเชื้ออื่น ๆ ที่อาจตามมา ผ้าอนามัย ira 
เป็นตัวเลือกที่ดีที่ช่วยให้วันมามากของคุณสดชื่นมากขึ้น เพราะการซึมซับที่ดีรอบทิศทาง รวมทั้งยัง
นุ่ม เบาสบาย อ่อนโยน ไม่แพ้ เพราะทุกชั้นซึมซับจนถึงห่อผ้าอนามัย ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ เช่น เยื่อไม้ไผ่ออร์แกนิค ใยข้าวโพด เยื่อไม้ ทำให้เป็นผ้าอนามัยที่ย่อยสลายได้ด้วย รวมทั้งปราศจากพอลิเมอร์ดูดซับน้ำ น้ำยาฟอกขาวคลอรีน น้ำหอม ไดออกซิน น้ำยาย้อมสี ทำให้เห็นสีจริงของประจำเดือน ทุกคนจะสามารถเช็กสุขภาพของเมนส์ได้ มาพร้อมกับราคาแพ็กเก็จที่คุ้ม และนอกจากการใช้ผ้าอนามัยที่เหมาะสมแล้ว การล้าง
ทำความสะอาดก็เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยต้องหลีกเลี่ยงการสวนล้าง เพื่อป้องกัน
การเสียสมดุลในช่องคลอด และเลือกใส่กางเกงในที่ขนาดพอดีตัว ไม่รัดแน่นจนเกินไปจนอึดอัด 

วิธีการดูแลง่าย ๆ เช่นนี้ก็ช่วยให้คุณรักษาความสะอาด และให้น้องสาวมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้เช่นกัน

ปวดท้องเมนส์ทำไง สิ่งที่หลายคนต้องเผชิญเมื่อมีรอบเดือนวนกลับมา นั่นก็คืออาการปวดท้องทั้งก่อน หรือระหว่างมีประจำเดือน วันนี้เราจะมาดูกันว่า เราควรรับมือยังไงดี

ปวดท้องเมนส์ทําไงดี? รวมวิธีแก้ปวดท้องเมนส์แบบง่ายๆ

กว่า 80% ของคนที่มีเมนส์ และก่อนแต่ละรอบของประจำเดือน ถือได้ว่าเป็นช่วงที่หลาย ๆ คน
ต้องทรมานใจและกายไม่ใช่น้อย ที่จะต้องเจอกับอาการหงุดหงิด ขึ้น ๆ ลง ๆ เหวี่ยงวีนสารพัด Sensitive ร้องไห้ง่ายกับเรื่องเล็ก ๆ ใช้ชีวิตแบบปกติสุขไม่ได้ จนทำให้หลาย ๆ คนต้องตกอยู่กับวัน Bad day 
ซึ่งอาการเหล่านี้ก็ไม่ใช่การคิดไปเอง เพราะมันมีชื่อเรียกในทางการแพทย์ว่า กลุ่มอาการ PMS หรือ Premenstrual Syndrome ที่มักเป็นในช่วงก่อนมีประจำเดือนประมาณ 5-11 วัน  ในบางคนอาจมีอาการไปถึงร่างกาย ที่จะรู้สึกไม่สบายตัวได้ด้วย ซึ่งนอกจาก จะส่งผลต่อตัวเองแล้ว ยังมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบตัวจากอาการเหวี่ยงวีนที่ควบคุมได้ยากอีกด้วย

PMS คืออะไร ทำไมต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

PMS ย่อมาจาก Premenstrual Syndrome คือกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือนประมาณ 1-2 สัปดาห์ และจะหายไปเองหลังจากมีประจำเดือนมาแล้ว ซึ่งอาการของ PMS นั้นแตกต่างกันไปใน
แต่ละบุคคล แต่ในช่วงที่มีอาการเรียกได้ว่ามีผลกระทบทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ทำให้ชีวิตประจำวัน
ของหลาย ๆ คนยุ่งยากขึ้น ลำบาก หรือในบางคนเมื่อควบคุมไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานใจมากพอสมควร 
หลายคนอาจต้องนอนจมกองน้ำตา หรือผิดหวังกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ง่ายขึ้นในช่วงนั้น ทำให้เราต้อง
หันมาใส่ใจเป็นพิเศษในช่วงนี้ เพราะนอกจากผลที่เกิดกับตัวเองแล้ว ยังพาลไปกระทบความสัมพันธ์กับ
คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว คนรัก หรือความสัมพันธ์ในที่ทำงานได้ ซึ่งเหตุผลที่เราต้องมาใส่ใจอาการ PMS นอกจากจะเป็นเรื่องที่บางครั้งคนที่มีอาการไม่รู้ตัวถึงพฤติกรรม หรือควบคุมอารมณ์ได้ยากแล้ว ก็ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ด้วย ได้แก่

คุณภาพชีวิต เช่น การที่อารมณ์แปรปรวน มีอาการทางกาย อย่างการปวดท้องหรือปวดหัว อาจทำให้รู้สึก
ไม่สบายตัว และส่งผลต่อชีวิตประจำวันในช่วงนั้น ประสิทธิภาพการเรียน หรือการทำงานอาจลดลงตามมา

ส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น ในบางจะมีอาการซึมเศร้า กังวล และเครียดที่เกิดจาก PMS จนอาจ
นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้นได้ในระยะยาว

บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคต่อมไทรอยด์ หรือภาวะมีบุตรยาก

PMS อาการที่พบได้เป็นยังไง

อาการของ PMS อาจแบ่งโดยทั่วไปได้ 3 แบบ คือ อาการทางด้านจิตใจ อาการทางกาย และพฤติกรรม ได้แก่

อารมณ์แปรปรวน ซึ่งมีหลากหลายอารมณ์ด้วยกันที่ต้องรับมือ มาดูกันว่า อารมณ์แปรปรวนที่ว่ามีอะไรบ้าง

หงุดหงิดหรือโกรธง่าย : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดและโกรธง่าย หรือเศร้าในช่วงเวลาก่อนมีประจำเดือน

อารมณ์ซึมเศร้า : บางคนอาจรู้สึกเศร้า หมดกำลังใจ หรือรู้สึกไม่มีค่าในช่วง PMS

ความวิตกกังวล : อาการวิตกกังวล คิดมาก หรือความเครียดที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้เป็นเรื่องที่
พบได้บ่อย

อาการทางร่างกาย ก็เป็นอีกอาการที่มีร่วมกับอารมณ์ต่าง ๆ ได้แก่

ปวดท้องน้อย : การปวดหรือรู้สึกไม่สบายในบริเวณท้องน้อยเป็นอาการที่พบได้บ่อย
ในช่วงก่อนมีประจำเดือน

ท้องอืด : การบวมท้องหรือรู้สึกแน่นในท้องสามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการเก็บน้ำ
และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ปวดศีรษะ : อาการปวดหัวหรือไมเกรนสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วง PMS

เต้านมคัดตึง : รู้สึกเจ็บหรือคัดตึงบริเวณเต้านม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย

อ่อนเพลีย : ความรู้สึกอ่อนเพลียหรือหมดแรงเป็นอาการที่พบได้บ่อยเช่นกัน 

พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จากอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง ขึ้น ๆ ลง ๆ ร่างกายมีอาการต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ได้ เช่น 

ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น : บางคนอาจรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลหรือเกลือสูง

นอนไม่หลับหรือหลับยาก : ปัญหาการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ หรือตื่นขึ้นมากลางดึก สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วง PMS

PMS รักษาได้หรือไม่?

โดยส่วนมากอาการของ PMS อาจไม่ต้องแก้ด้วยการรักษา เพราะสามารถบรรเทาและรับมือได้ 
แต่ในบางคนที่มีอาการเกี่ยวกับสภาพจิตใจที่รุนแรง และกินเวลานานขึ้น เช่น บางคนมีภาวะซึมเศร้า
ร่วมด้วย แม้ว่าจะผ่านช่วงที่มีประจำเดือนไปแล้ว หรือบางคนมีอาการปวดท้องรุนแรงขึ้น ก็อาจจำเป็น
ต้องพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัย เช่น การซักประวัติหรือตรวจภายในเพิ่มเติม และสำหรับบางคนแพทย์อาจพิจารณาการรักษาเป็นยาคุมกำเนิด เพื่อปรับความสมดุลของฮอร์โมน หรือยาต้านเศร้าตามอาการ โดยขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์

วิธีการป้องกันหรือดูแลตนเอง เมื่อมีภาวะ PMS

การป้องกันและดูแลตนเองเมื่อมีภาวะ PMS (Premenstrual Syndrome) สามารถช่วยลด
ความรุนแรงของอาการและทำให้คุณรู้สึกสบายใจและตัวขึ้นได้ วิธีการป้องกันและดูแลตัวเองมีดังนี้

ปรับเปลี่ยนอาหารการกิน 

เน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีน ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี ที่ช่วยเรื่องการรักษาระดับพลังงานและสมดุลของฮอร์โมน ลดอาการหงุดหงิดและความเหนื่อยล้า

ลดการบริโภคเกลือ เพื่อช่วยลดอาการบวมท้องและการกักเก็บน้ำ

เลี่ยงอาหารหวานและน้ำตาลสูง จะช่วยลดความรู้สึกหิวระหว่างมื้อและลดอารมณ์แปรปรวน ปวดท้อง และสิวขึ้นได้

กินอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อย ๆ ตลอดทั้งวันจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและลดอาการหงุดหงิด

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือโยคะ ก็ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด 
ลดความเครียด และปล่อยสารเอ็นดอร์ฟิน (endorphine) ที่ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น ลดอาการอ่อนเพลียและอารมณ์แปรปรวน

การพักผ่อนและนอนหลับให้เพียงพอ ทุกคนควรนอนหลับอย่างน้อย 6-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายและลดอาการเหนื่อยล้าในช่วง PMS การสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลายในห้องนอนจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น

จัดการความเครียด ซึ่งมีหลายวิธี โดยแต่ละคนอาจเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง อย่างเช่น 
ฝึกการหายใจลึก ๆ ทำสมาธิ หรือฝึกโยคะ จะช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลในช่วง PMS ได้ นอกจากนี้การหาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่คุณชอบก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เช่น 
ดูหนัง ซีรีส์เรื่องโปรด อ่านหนังสือ ฟังเพลงที่ชอบ พอดแคสต์รายการประจำ เป็นต้น

เลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพราะสามารถเพิ่มอาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ และ
วิตกกังวลได้ 

เสริมวิตามินและแร่ธาตุ จำพวก วิตามินบี6 แคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินดี เป็นสารอาหาร
ที่สามารถช่วยลดอาการ PMS เช่น ปวดท้องน้อย อารมณ์แปรปรวน และอาการบวม 
การรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้สามารถช่วยได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้

การเลือกใช้ผ้าอนามัยที่ผิวสัมผัสนุ่ม เช่น ผ้าอนามัย ira ที่นุ่มเบาสบายจิมิ เหมือนใส่ก้อนเมฆ 
เพราะทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ใยไม้ไผ่  ใยข้าวโพด และเยื่อไม้ organic 100% แถมยังไม่ก่อให้เกิดการแพ้ 
ทุกคนมั่นใจได้เลยว่าใส่ได้อย่างสบายตัว ไม่เพิ่มความหงุดหงิดต่อเนื่องจาก PMS แน่นอน 
เพราะไม่คัน หรือระคายเคือง รวมทั้งไม่มีสารเคมี หรือน้ำยาย้อมสี 

บันทึกอาการ PMS แต่ละเดือน เพื่อให้เข้าใจลักษณะของอาการ และสามารถวางแผนในการรับมือได้ดียิ่งขึ้น หรือหากต้องไปพบแพทย์ ข้อมูลนี้ก็จะเป็นประโยชน์ในการพูดคุยกับคุณหมอได้

ขอคำปรึกษาจากแพทย์ ในกรณีที่อาการ PMS รุนแรงและส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก 
เช่น อารมณ์ซึมเศร้าจนไม่อยากทำอะไรเลย ความเครียดที่สูงมากจนนนไม่หลับ หรืออาการทางร่างกายที่ไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง 
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมต่อไปได้


สามารถตรวจสอบแพ็กเกจที่คุ้มในได้ที่นี่

ปัญหาโลกแตกของคนมีเมนส์ นั่นก็คืออาการ PMS ที่ก่อนเมนส์มาจะต้องมีอาการไม่น่ารัก ไม่ว่าจะเป็นอาการเหวี่ยง วีน หงุดหงิด อารมณ์อ่อนไหว มาดูกันว่าจะจัดการอย่างไรดี

PMS อาการเป็นยังไง ทริครับมือก่อนเป็นเมนส์

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันก่อนว่าประจำเดือนไม่ใช่เลือดเสีย โดยในทุก ๆ เดือนฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอรโรน (Progesterone) จะถูกสร้างจากรังไข่ ที่ได้รับการกระตุ้นมาจาก
ต่อมใต้สมองไปทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น เพื่อเตรียมตัวสำหรับการฝังตัวอ่อน แต่ถ้าไม่มีการปฏิสนธิใด ๆ เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือนนั่นเอง โดยปกติสีของประจำเดือนของแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว หรือสำหรับบางคนสีของประจำเดือนแต่ละรอบเดือนก็อาจไม่เหมือนกันได้ด้วย เช่น 
มีสีแดงคล้ำ สีแดงสด สีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลดำ ขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกาย และปัจจัย
การมีประจำเดือนในรอบเดือนนั้นของแต่ละคนร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็น จำนวนวันที่มีประจำเดือนในรอบนั้น ๆ ความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก ภาวะตั้งครรภ์ ปริมาณของประจำเดือน ความเก่าของประจำเดือนที่มีผล
มาจากรอบที่แล้ว ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น ในช่วงต้นของประจำเดือนก็อาจมีสีแดงสด
จากปริมาณเลือดเยอะ ช่วงท้ายของประจำเดือนจะมีสีเข้มขึ้น เพราะการไหลที่ลดลง หรือเลือดประจำเดือนที่ตกค้างอยู่กับเยื่อบุโพรงมดลูก แล้วสัมผัสกับอากาศ ทำให้มีสีคล้ำขึ้นได้ 

จริงอยู่ว่าการที่ประจำเดือนสีน้ำตาล หรือสีคล้ำขึ้น เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่หลาย ๆ คน
ก็อาจจะกังวลใจจากปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นสัญญาณของสุขภาพที่อาจจะมีปัญหาได้ เมื่อมีปัจจัย
อื่น ๆ เกิดขึ้นกับการที่ประจำเดือนสีน้ำตาล เช่น โรคบางอย่าง เรากำลังท้องหรือไม่ มีลักษณะเป็นเมือก 
มาน้อยหรือมากกว่าปกติ หรือการที่ประจำเดือนมีสีน้ำตาล กระปิดกระปอย มาหลายวัน และเกิดอาการ
ผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การมีตกขาวมามากผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น ระคายเคืองช่องคลอด จนเกิด
การติดเชื้อที่ช่องคลอด ก็อาจเป็นเรื่องที่ต้องเริ่มกังวล และไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำขึ้น และหาแนวทางการรักษา เพื่อให้เราสามารถกลับมาดูแลน้องสาวให้ดีเหมือนเดิม และลดความกังวล
ถึงความเจ็บป่วยอื่น ๆ ได้ด้วย

ทําไมประจําเดือนถึงมีสีดํา คล้ำ นี่เราเป็นโรคอันตรายอะไรรึเปล่า!? #iraJuice #เพศศึกษ #เมนส์สีดำ

ประจำเดือนมีกี่สี แต่ละสีบอกอะไรบ้าง?

ด้วยความที่สีประจำเดือนของแต่ละคน หรือแต่ละรอบเดือน อาจมีความแตกต่างกัน ทุกคนควรรู้ก่อนว่าแต่ละเฉดสีของประจำเดือนนั้น บอกอะไรเราได้บ้าง เพื่อให้เราเข้าใจเมนส์ของเราให้ดีมากขึ้น

สีประจำเดือนที่ปกติและบ่งบอกถึงการมีสุขภาพดี เลือดออกจากมดลูกอย่างสมบูรณ์

สีน้ำตาล หรือคล้ำ หรือเข้มไปจนถึงเป็นสีดำ 

เลือดที่มีการออกช้าหรือเก่า หรือตกค้างจาก รอบที่แล้ว หรือฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ในบางคนอาจบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์  แต่อย่างไรก็ตาม ความผิดปกติอาจดูจากสีอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีประจำเดือนสีคล้ำไปทางสีดำ หรือสีน้ำตาล แล้วมาน้อยหรือมาก ในบางคนมีประจำเดือนสีน้ำตาลเป็นเมือก ๆ หรือบางคนประจำเดือนสีน้ำตาล แต่มาแบบกระปิดกระปอยติดต่อกันมาหลายวัน หรือประจำเดือนสีน้ำตาล แต่มาปริมาณมาก หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ผิดปกติร่วมด้วย ซึ่งอาจต้องสังเกต และบันทึกสถิติของอาการผิดปกตินี้ เพื่อใช้สำหรับให้ข้อมูลเมื่อต้องไปพบแพทย์ได้

ประจำเดือนสีน้ำตาล น่ากลัวไหม บอกเหตุอะไร?

ประจำเดือนสีน้ำตาลเกิดจากเลือดที่มีการออกช้าหรือเก่า ซึ่งทำให้เลือดมีการเกิดการออกซิไดซ์ (oxidize)
กับอากาศ ทำให้เปลี่ยนจากสีแดงสดเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอมดำได้ ซึ่งในการมีประจำเดือนสีน้ำตาลปกติไม่ใช่เรื่องน่ากลัวและปกติ แต่นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ หรือปัจจัยบางข้อที่บ่งบอกได้ว่า
เป็นเรื่องของปัญหาสุขภาพได้ มาดูกันดีกว่าว่า มีปัจจัยอะไรบ้าง

เกิดจากช่วงเริ่มต้นและสิ้นสุดของรอบเดือน โดยมักเกิดในช่วง 1-2 วันแรก หรือ 1-2 วันสุดท้าย
ของรอบเดือน เลือดประจำเดือนอาจมีสีเข้มกว่าปกติ เนื่องจากปริมาณเลือดน้อยลง

การตั้งครรภ์ โดยจะมีเลือดออกเล็กน้อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ทำให้หลายคนที่วางแผน
มีลูกตั้งข้อสงสัยว่าประจำเดือนสีน้ำตาล ท้องไหม แต่ก็อาจไม่ใช่สำหรับทุกกรณีเสมอไป อย่าลืมตรวจดูง่ายๆ เองที่บ้านด้วยที่ตรวจครรภ์

การใช้ยาคุมกำเนิด บางชนิด อาจมีผลข้างเคียงทำให้มีเลือดออกผิดปกติเป็นสีน้ำตาล

ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น ภาวะรังไข่หลายถุงน้ำเล็ก (PCOS) หรือภาวะต่อมไทรอยด์
ทำงานผิดปกติ

การติดเชื้อในช่องคลอด เช่น เชื้อรา หรือแบคทีเรีย

เนื้องอกในมดลูก หรือมะเร็งปากมดลูกในบางกรณี อาจทำให้มีเลือดออกผิดปกติเป็นสีน้ำตาล

ภาวะอื่น ๆ เช่น ภาวะมีบุตรยาก หรือวัยหมดประจำเดือน ก็อาจทำให้มีประจำเดือนสีน้ำตาล 
มาน้อยได้

สีประจำเดือนแบบไหน ควรพบแพทย์ และวิธีการดูแลตนเอง

เมื่อรู้เฉดสีประจำเดือนที่ปกติไปแล้ว เราก็ควรรู้ด้วยว่า สีของประจำเดือนแบบไหนที่เริ่มเป็นสัญญาณของโรค หรือความผิดปกติบางอย่างกับร่างกายของ เพื่อให้เรารู้ตัวว่าเมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์ได้แล้ว

สีแดงเข้มหรือสีม่วงแดง เป็นเลือดที่ออกช้ากว่าเล็กน้อยหรือเป็นเลือดที่คั่งอยู่ในมดลูก 
และอาจเกิดจากภาวะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อาจต้องสังเกตลักษณะ ปริมาณของประจำเดือน ร่วมกับอาการอื่น ๆ ที่บ่งบอกความผิดปกติที่ชัดเจนมากขึ้น 

สีชมพูอ่อน อาจบ่งบอกถึงภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ มีความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์  
หรือคนที่มีภาวะซีด 

สีส้ม ที่มาพร้อมกับกลิ่นไม่พึงประสงค์ อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ

สีแดงปนเขียวข้น ๆ อาจเกิดจากการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน

สีแดงปนเทา อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มักจะมีอาการคันร่วมด้วย 

สีน้ำตาล แต่มาน้อย หรือมากะปริดกะปรอยติดต่อกันหลายวัน อาจเสี่ยงภาวะซีด หรือในคนที่
มาร่วมกับตกขาว หรือประจำเดือนสีน้ำตาล เป็นเมือก มีกลิ่นเหม็น หรืออาการแสบคันช่องคลอดร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อได้

นอกจากนี้ ถ้าสังเกตตัวเองจากการมีสีประจำเดือนที่เปลี่ยนไปแล้ว หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดท้องน้อย ปวดช่องคลอด ตกขาวผิดปกติ หรือประจำเดือนมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ มีไข้ มีเลือดออกระหว่าง
รอบเดือน หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาได้ทัน 

ira แนะนำทริคสำหรับการดูแลตัวเองง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้

แน่นอนว่าทุกสีของประจำเดือนต้องมีตัวช่วยอย่างผ้าอนามัย ซึ่ง ira ได้ออกแบบมาเพื่อปกป้อง ซึมซับอย่างบอบบาง และอ่อนโยน พร้อมดูแลน้องสาวของทุกคนให้สุขภาพดีได้ ตั้งแต่การมีผิวสัมผัส
ที่อ่อนโยน นุ่ม เบาสบาย และสำหรับคนแพ้ง่าย ชาววีแกน หรือชาวรักษ์โลกที่ไม่อยากใช้ผ้าอนามัยแล้ว
เพิ่มขยะก็สบายใจได้เลยว่า ผ้าอนามัย ira ย่อยสลายได้จริง (99%) เพราะตั้งแต่ชั้นสัมผัสไปจนถึงซองห่อผ้าอนามัย ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติทั้งหมด และปราศจากสารเคมี ผ้าอนามัย ira จึงมีคุณสมบัติออแกนิก 100% ด้วยความที่ผ้าอนามัยไอร่าปราศจากสารเคมี คุณจึงยังสามารถสังเกตสีประจำเดือนตัวเองได้ยังชัดเจนและแท้จริงอีกด้วย การสมัครแพ็กเก็จสุดคุ้มที่ราคาจับต้องได้ จึงเป็น
ตัวเลือกที่ดีในการดูแลน้องสาวของคุณ และนอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่น ๆ ที่บทความนี้อยากแนะนำ เพื่อการดูแลดียิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่

สังเกตอาการของตัวเอง เช่นการบันทึกวันที่มีประจำเดือน สีของประจำเดือน ปริมาณ และอาการอื่น ๆ 
ที่เกิดขึ้น

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อตรวจหาความผิดปกติ หรือเช็กอย่างสม่ำเสมอว่าเรายังสุขภาพดี

ดูแลสุขอนามัยส่วนตัว โดยเน้นไปที่การทำความสะอาดน้องสาวให้ถูกวิธี หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง

มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อรักษาสุขภาพภายใน และยับยั้งเรื่องกลิ่นของน้องสาวได้ด้วย

ออกกำลังกายสม่ำเสมอซึ่งช่วยให้สุขภาพแข็งแรง

ประจำเดือนสีน้ำตาล อาจเป็นเรื่องที่ทำให้กังวลใจได้ ซึ่งหากทำความเข้าใจดี ๆ อาจจะ
ไขข้อกังวลใจได้ มาดูกันว่ามีสาเหตุจากอะไร และสีประจำเดือนบอกอะไรเราได้บ้าง

ประจำเดือนสีน้ำตาล บอกอะไรเรา เช็กสีประจำเดือนบอกโรคได้

ประจำเดือน เป็นสัญญาณที่การเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง 
เกิดจากกลไกที่ร่างกายมีการเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ ซึ่งกระบวนการเกิดประจำเดือนเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกายและทำงานร่วมกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลอกตัวของเยื่อบุมดลูกออกมาจากช่องคลอดเป็นประจำเดือน เนื่องจากการตกไข่ที่ไม่มีการปฏิสนธิในแต่ละเดือนนั้น ๆ โดยเฉลี่ยแล้ว รอบเดือนจะมาประมาณ 28 วันต่อครั้ง แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้จากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น อาจจะ
มาเร็วขึ้นหรือช้าลงเล็กน้อย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ รอบเดือนที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 21-35 วันต่อครั้ง

การทราบถึงความปกติของรอบเดือน และระยะเวลาที่ประจำเดือนมา สามารถช่วยให้คุณสังเกตหรือบันทึกสุขภาพร่างกายของคุณเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ระยะเวลารอบเดือนนานแค่ไหนถึงจะปกติ? ประจำเดือนมาหลายวันเพราะอะไร แล้วในคนที่ประจำเดือนไม่มาจนเกิดภาวะขาดประจำเดือนคืออะไร เพราะรอบเดือนของแต่ละคน หรือในคน ๆ เดียวกันนั้นแตกต่างกันไป ไม่จำเป็นต้องเท่ากันเป๊ะทุกเดือน แต่บางอาการก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องหันมาใส่ใจมากขึ้น เพราะอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติ และก่อโรคบางอย่างได้

ira juice EP.34 | หน้า 7 หลัง 7 นับยังไง ปลอดภัยจริงมั้ย?

รู้จักกับประจำเดือน และเรื่องที่ควรใส่ใจเกี่ยวกับประจำเดือนของคุณ

ประจำเดือน เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่มีการปฏิสนธิระหว่างไข่และอสุจิในรอบเดือนนั้น ๆ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูก
ที่เตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว ไม่ได้รับการใช้งาน จึงหลุดลอกออกมาพร้อมกับเลือดและของเหลวอื่น ๆ ผ่านทางช่องคลอด ซึ่งกระบวนการของการเกิดประจำเดือนก็มีขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่

การตกไข่ ทุก ๆ เดือน รังไข่ของผู้หญิงจะปล่อยไข่ออกมาหนึ่งฟอง ซึ่งเรียกว่าการตกไข่ 
ไข่นี้จะเดินทางผ่านท่อนำไข่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผสมกับอสุจิ หากมีเพศสัมพันธ์เกิดขึ้น

การสร้างเยื่อบุโพรงมดลูก โดยในขณะเดียวกันฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะกระตุ้น
ให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นเพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว

การลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งหากไข่ที่ตกออกมาไม่ได้รับการผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะ
หลุดลอกออกมา ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของประจำเดือน ประกอบด้วยเลือด เยื่อบุผิว 
และสารคัดหลั่งอื่น ๆ

การขับออกของประจำเดือน เลือดและเยื่อบุที่หลุดลอกจะถูกขับออกจากร่างกายผ่าน
ทางช่องคลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้จักกันในนามของประจำเดือน

สาเหตุที่มีชื่อเรียกว่าประจำเดือน เพราะว่ากระบวนการนี้จะเกิดขึ้นทุก ๆ เดือน แต่สิ่งที่เรา
ต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือ หากมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ เช่น ประจำเดือนขาดหายไป หรือมาปริมาณมากหรือน้อยเกินไป อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ อื่น ๆ เช่น ฮอร์โมนไม่สมดุล หรืออาการอื่น ๆ 
ที่อาจต้องพบแพทย์ โดยเราควรสังเกตตัวเองร่วมด้วย เช่น ลักษณะสีของประจำเดือน ระยะห่าง
ระหว่างรอบเดือน หรือประจำเดือนขาดไปนานแค่ไหน ประจำเดือนรอบนั้นมานานแค่ไหน การที่มีอาการตกขาวร่วมด้วย มีกลิ่น หรือลักษณะที่ผิดปกติไป หรืออาการปวดท้องในบางคนที่ค่อนข้างรุนแรง 
ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจภายในอย่างละเอียด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับประจำเดือนสามารถช่วยให้
ทุกคนดูแลสุขภาพของตนเอง และสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้ 
 นอกจากการสังเกตตัวเองที่เป็นวิธีการใส่ใจสุขภาพน้องสาวเราได้แล้ว ในวันมามากก็เป็นช่วงที่
เราต้องหาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน บอบบาง แต่ก็ยังสามารถดูแลปกป้องน้องสาวของเราได้ เพราะทุกคน
ต้องใส่ผ้าอนามัยในวันนั้นกันอยู่แล้ว ผ้าอนามัย ira จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานนี้ให้กับ
ทุกคน ที่มาพร้อมทั้งแบบกลางวัน กลางคืน และแผ่นอนามัยสำหรับวันที่มีตกขาวด้วย และดีกว่าด้วยการ
ใช้วัสดุจากธรรมชาติทุกชั้นซึมซับ สำหรับคนที่ต้องการใส่ใจตัวเองเป็นพิเศษ เพราะกังวลเรื่องแพ้ง่าย
ก็หายห่วง

รู้จักประจำเดือนปกติเป็นอย่างไร ต้องมานานเท่าไหร่

ระยะเวลา โดยเฉลี่ยแล้ว รอบเดือนจะมาประมาณ 28 วันต่อครั้ง ซึ่งวันที่ 1 คือวันแรกที่ประจำเดือนมา แต่ก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง เช่น มาเร็วขึ้นหรือช้าลงเล็กน้อยไม่กี่วัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ รอบเดือนที่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติคือ 21-35 วัน ต่อครั้ง จำนวนวันที่มีเลือดออก หลายคนอาจสงสัยว่าประจำเดือนนานสุดกี่วันถึงจะพอดีกับแต่ละคน ปริมาณเลือดที่ออกแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว ประจำเดือนจะมานานประมาณ 3-7 วัน ซึ่งปริมาณเลือดที่ออกแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ทั่วไปจะใช้ผ้าอนามัยหรือผ้าซับประจำเดือนประมาณ 4-8 ชิ้นต่อวัน 

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อรอบเดือน ให้มีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น 
ฮอร์โมนเพศหญิงและเพศชายที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมรอบเดือน โรคประจำตัวบางชนิด เช่น 
โรคไทรอยด์ผิดปกติ หรือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) หรือในบางคนที่มีน้ำหนักตัวที่มากหรือ
น้อยเกินไป การออกกำลังกายที่มากเกินพอดี หรือในบางคนมีความเครียดเรื้อรัง การใช้ยาบางชนิด 
เช่น ยาคุมกำเนิด หรือยาทางจิตเวชอื่น ๆ ก็มีผลทำให้รอบเดือนที่ปกติไม่ปกติได้เช่นกัน

รู้จักประจำเดือนที่อาจส่งสัญญาณไม่ปกติของร่างกาย และสัญญาณเตือนจากประจำเดือนที่ควรใส่ใจ

รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ถ้าหากรอบเดือนของคุณมาไม่ตรงเวลา หรือมีระยะห่างระหว่างรอบเดือนที่เปลี่ยนแปลงไปมาก อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติทางฮอร์โมน โรคบางชนิด หรือความเครียด

ถ้าหากประจำเดือน
ของคุณมานานเกิน 7 วัน และมีเลือดออกมากผิดปกติ ผ้าอนามัยที่ใช้เต็มและต้องเปลี่ยนหลายครั้งต่อวัน อาจเป็นสัณณาณว่าเกิดการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เนื้องอกในมดลูก หรือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ

ประจำเดือนมาน้อยเกินไป หรือขาดหายไปนาน อาจเกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์ การลดน้ำหนัก
อย่างรวดเร็วฉับพลัน หรือภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล

มีเลือดออกระหว่างรอบเดือน อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ เนื้องอก หรือมะเร็ง

มีลิ่มเลือดปนในเลือดประจำเดือน อาจเกิดจากการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หรือเนื้องอก

มีอาการปวดท้องรุนแรง จนกระทั่งทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้ อาจเป็นสัญญาณของโรค Endometriosis หรือภาวะอื่น ๆ

ประจำเดือน หมายถึงรอบเดือนของเราที่มาทุก ๆ เดือน โดยห่างกันแต่ละรอบประมาณ 21-35 วัน แต่รู้ไหมว่าปกติแล้วเราจะมีประจำเดือนนานสุดกี่วัน แล้วแบบไหนที่ไม่ปกติบ้าง

Video series: ira Juice

Blog posts

PCOS คืออะไร ทำไมต้องใส่ใจกับโรคยอดฮิต “ถุงน้ำในรังไข่”

ปวดท้องเมนส์ทําไงดี? รวมวิธีแก้ปวดท้องเมนส์แบบง่ายๆ

PMS อาการเป็นยังไง ทริครับมือก่อนเป็นเมนส์

ประจำเดือนสีน้ำตาล บอกอะไรเรา เช็กสีประจำเดือนบอกโรคได้

ประจำเดือนนานสุดกี่วัน? รอบเดือนแบบไหนที่ปกติ

ช่องคลอดแห้งเกิดจากอะไร วิธีดูแลช่องคลอดให้สดใส!

ตกขาวเยอะ น่ากลัวไหม ทำไมเราจึงมีตกขาว

ก้อนเลือดประจำเดือน เกิดจากอะไร อันตรายไหม วิธีแก้ไข

ประจำเดือนไม่มาแต่มีตกขาว ท้องไหม? ต้องระวังอะไรบ้าง

ประจำเดือนไม่มา 1 เดือน เมนส์มาไม่ปกติ สัญญาณบอกอะไร?!

แพ้ผ้าอนามัย คัน เป็นตุ่ม วิธีสังเกตว่าแพ้ผ้าอนามัยจริงไหม

จุดซ่อนเร้น มีกลิ่นแก้ยังไง แคร์จุดซ่อนเร้นยังไงดี

แพ้ผ้าอนามัย อาการเป็นอย่างไร สาเหตุและวิธีการแก้

ดูแลน้องสาวไม่ให้มีกลิ่น วิธีดูแลจิมิให้สุขภาพดี

ใส่ผ้าอนามัยยังไงไม่ให้เลอะ รวมทริคเอาใจคนเมนส์เยอะ

วิธีใส่ผ้าอนามัย ที่ถูกต้อง ใช้ผ้าอนามัยแบบไหน ทิ้งยังไง?

The perfect night pads for leak-free and comfortable night.

แผ่นอนามัย กับ ผ้าอนามัย ต่างกันยังไง ใช้เวลาไหน?

Update your 2024 sanitary napkin list! Let's find out the types of sanitary napkins and how to choose them.

ผ้าอนามัย ira ดียังไง ราคาเท่าไหร่ ซื้อที่ไหน รวมรีวิวทั้งหมด